“อเมริกัน โมเดล” ความล้มเหลวของโลกลูกหนัง / MVP

คอลัมน์ Buzzer Beat โดย MVP

ระหว่างรอเกมตัดสินซีรีส์รอบชิงชนะเลิศ บาสเกตบอล เอ็นบีเอ (NBA) วันศุกร์ที่จะถึงนี้ (17 มิ.ย.) เหลือบมองตลาดซื้อ-ขายนักเตะของวงการลูกหนังสัปดาห์นี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี กับ ลิเวอร์พูล ต่างเปิดตัวศูนย์หน้าคนใหม่ เออร์ลิง ฮาแลนด์ และ ดาร์วิน นูเญซ ตามลำดับ สร้างความคึกคักแก่แฟนๆ ทั้ง 2 ทีม ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ 20 สมัย ยังมีเพียงมหากาพย์ต่อรองราคา เฟรนกี เดอ ยอง มิดฟิลด์ บาร์เซโลนา ซึ่งไม่รู้ว่าจะลงเอยอย่างไร

ตระกูล เกลเซอร์ ในสายตาชาวอเมริกัน และชาวเมืองแทมปา เบย์ อาจมองว่า นี่คือวีรบุรุษ ผู้ปลุกปั้น แทม ปา เบย์ บัคคาเนียร์ส ก้าวสู่แชมป์ ซูเปอร์โบว์ล 2 สมัย ปี 2003 กับ 2021 นับตั้งแต่ควักเงิน 192 ล้านเหรียญสหรัฐ ซื้อแฟรนไชส์ เมื่อปี 1995 ทั้งการทุ่มดึง จอน กรูเดน นั่งเก้าอี้เฮดโค้ช เพื่อยกระดับเกมบุก หลัง โทนี ดันจี สร้างทีมรับจนก้าวมาอยู่ระดับหัวแถวของ อเมริกันฟุตบอล เอ็นเอฟแอล (NFL) และคว้า ทอม เบรดี จาก นิว อิงแลนด์ แพทริออตส์ แล้วกลายเป็นกุญแจความสำเร็จ

ทว่าหันมามอง แมนฯ ยูไนเต็ด อันยาวนานของ ตระกูลเกลเซอร์ เกือบ 20 ปี ความล้มเหลวด้านการบริหารจัดการสโมสร ถูกเปิดเผยราวกับขยะที่ซุกไว้ใต้พรม หลัง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือชาวสกอต ประกาศวางมือ เมื่อปี 2013 โดยเฉพาะการซื้อ-ขายตัวผู้เล่นที่ไม่ประสบความสำเร็จมาตั้งแต่ยุค เดวิด มอยส์, หลุยส์ ฟาน กัล, โชเซ มูรินโญ และ โอเล กุนนาร์ โซลชา

กาลครั้งหนึ่ง มูรินโญ สมัยโดนปลดจากเก้าอี้ผู้จัดการทีม เคยกล่าวไว้ว่า ความสำเร็จสูงสุดของอาชีพ คือ การพา “ปิศาจแดง” จบรองแชมป์ พรีเมียร์ ลีก กับแชมป์ 2 รายการ ลีก คัพ และ ยูฟา ยูโรปา ลีก ณ เวลานั้นแฟนๆ ส่วนมากมองว่า “เดอะ สเปเชียล วัน” ยกหางตัวเองตามสไตล์กุนซ์อที่มีความมั่นใจสูง นานวันเข้าสิ่งที่ เทรนเนอร์ชาวโปรตุกีส กล่าวไว้ ดูเหมือนจะเป็นความจริง

ฤดูกาล 2021-22 ที่ผ่านมา สาวก “เรด เดวิลส์” ต่างเชื่อมั่นว่าเกิดการต่อยอด เพื่อมาลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ ลีก กับ แมนฯ ซิตี และ ลิเวอร์พูล คู่ปรับตลอดกาล หลังทุ่มเงินซื้อผู้เล่นบิ๊กเนมอย่าง จาดอน ซานโช, ราฟาเอล วาราน และ คริสเตียโน โรนัลโด ทว่าผลลัพธ์ออกตรงกันข้าม ทำได้เพียงจบพื้นที่ ยูโรปา ลีก แบบงงๆ หลัง เวสต์ แฮม ยูไนเต็ด พ่ายเกมปิดซีซัน จนนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงตัวกุนซือเป็น เอริก เทน ฮาก และทีมงานเก่าๆ ถูกโละออกจากถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด

ทุกๆ ปี ก่อนเริ่มซีซันไม่ว่าจะเป็น NFL หรือ NBA เรามักเห็นแบบสำรวจของ ผู้จัดการทั่วไป เกี่ยวกับหัวข้อ คุณจะเลือกใครเป็น ศูนย์กลาง หรือ รากฐาน เพื่อต่อยอดทีมขึ้นสู่การลุ้นแชมป์ แต่สำหรับเกมฟุตบอล ซึ่งคนอเมริกันเรียกว่า Soccer ไม่น่าจะเป็นแนวคิดที่เหมาะสม หากคุณต้องการสร้างสโมสรฟุตบอลสักแห่ง ตั้งแต่ระดับหมู่บ้านจนถึงระดับโลก เพื่อความเป็นเลิศของวงการลูกหนัง

ลองยกตัวอย่าง ดัลลัส มาเวอริกส์ คุณจะเห็นได้ว่า พวกเขากลายเป็นทีมระดับเพลย์ออฟ นับตั้งแต่ดึง ลูกา ดอนซิช ด้วยการแลกตัวกับ เทร ยัง ซูเปอร์สตาร์ แอตแลนตา ฮอว์กส วันดราฟต์ปี 2018 มาเป็นกระดูกสันหลังของแฟรนไชส์ แล้วหาตัวอื่นมาเสริมแบ่งเบาภาระ ดอนซิช ด้านการทำสกอร์, รีบาวน์ด, แอสซิสต์ และเกมป้องกัน หรือมองแบบใกล้ตัว บัคคาเนียร์ส เปลี่ยนควอเตอร์แบ็กเป็น เบรดี เนื่องจาก จามีส วินสตัน เสียเทิร์นโอเวอร์เยอะเกินไป ทำให้ “โจรสลัด” ที่มีปีกเก่งๆ อย่าง คริส ก็อดวิน กับ ไมค์ อีแวนส์ ซิวโทรฟี “วินซ์ ลอมบาร์ดี” สมัย 2

แต่ถ้าเป็นเกมฟุตบอล วิธีสร้างทีมลักษณะเดียวกับ อเมริกัน เกมส์ ด้วยการหานักเตะแพงๆ สักคนมาเป็นศูนย์กลาง แล้วเติมตัวอื่นๆ เข้ามาช่วย ความล้มเหลวก็จะเห็นอยู่รำไร เนื่องจากการสร้างทีมฟุตบอล เรื่องวิธีการเล่น, ทัศนคติ และทีมเวิร์ก ต้องอยู่เหนือปัจจัยอื่นๆ อาทิ ยอดขายเสื้อ, ของที่ระลึก และตั๋วชมการแข่งขัน มิฉะนั้นคุณก็จะได้นักเตะที่ไม่ได้ย้ายมาเล่นเพื่อทีม และกลายเป็นส่วนเกินราคาแพงของทีม

สำหรับฤดูกาล 2022-23 แมนฯ ยูไนเต็ด มีอุปสรรคด้านการเสริมทัพทั้งงบประมาณ และแรงดึงดูด เนื่องจากชวดโควตา ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก ยิ่งผู้อำนวยการฟุตบอลคนใหม่ ก็เป็นลูกน้องของนักบัญชีคนเดิม มันอาจเป็นสาเหตุให้การเจรจากับ เฟรนกี เดอ ยอง มิดฟิลด์ บาร์เซโลนา ยืดเยื้อ เพราะน่าจะมองแค่ประเด็นไม่อยากจ่ายแพงๆ แล้วล้มเหลวเหมือนที่ผ่านมามากกว่าเกมฟุตบอล

ถึงจุดนี้สิ่งที่คาดหวังจากซีซันแรกของ เทน ฮาก อย่างน้อยๆ ขอแค่เห็นพัฒนาการที่ดีขึ้น การตั้งรับและเข้าทำอย่างเป็นระบบ หรือ เพรสซิงด้วยความพร้อมเพรียง, ลำเลียงบอลเท้าต่อเท้าอย่างแม่นยำ และแฟนๆ ต้องให้เวลา กุนซือชาวดัตช์ อย่าตัดสินด้วยผลการแข่งขัน หรือถ้วยแชมป์ แล้วต่อยอดทีมขึ้นไปเรื่อยๆ คาดว่าถ้ายังได้คุมต่อ โปรเจคต์คืนความสุขแก่แฟนบอล “เรด เดวิลส์” น่าจะใช้เวลาสัก 3-4 ปี