เผยแพร่: ปรับปรุง:
คอลัมน์ Buzzer Beat โดย MVP
ตามมุมมองของแฟนๆ สตีเฟน เคอร์รี การ์ดจ่ายแม่ทัพ โกลเดน สเตท วอร์ริเออร์ส อาจไม่มีสิ่งใดต้องพิสูจน์ถึงความเก่งกาจ เขาเพิ่งทำลายสถิติยิง 3 คะแนนเข้าเป้ามากสุดของ เรย์ อัลเลน ช่วงฤดูกาลปกติ 2021-22 ที่ผ่านมา คว้ารางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) ทั้งฤดูกาลปกติ 2 สมัย กับ ออล-สตาร์ 1 สมัย และแหวนแชมป์บาสเกตบอล เอ็นบีเอ (NBA) 3 สมัย
อย่างไรก็ตาม เคอร์รี วัย 34 ปี ยังมีสิ่งที่ขาดหายสำหรับเติมเต็มสถานะ ว่าที่ “ฮอลล์ ออฟ เฟม (หอเกียรติยศ)” ของเขา ไม่ใช่ “แมจิก จอห์นสัน อวอร์ด” สำหรับผู้เล่นทรงคุณค่า รอบชิงชนะเลิศ สายตะวันตก หลังปิดซีรีส์ ชนะ ดัลลัส มาเวอริกส์ 4-1 เกม เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่มันคือ ผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) รอบชิงชนะเลิศ ซึ่งทำให้เขาถูกปรามาสฝีมือว่า ไม่ได้เป็นผู้เล่นที่ดีสุด เมื่อถึงซีรีส์สำคัญ
ตลอดการคว้าแชมป์ NBA 3 สมัยล่าสุดของแฟรนไชส์ เคอร์รี ทำได้เพียงมองดูเพื่อนร่วมทีมอย่าง อังเดร อิกัวดาลา (2015) กับ เควิน ดูแรนท์ (2017 และ 2018) ได้รับการประกาศชื่อเป็น MVP รอบชิงชนะเลิศ ดังนั้นเราลองมาดูกันเสียว่า แท้จริงแล้ว เคอร์รี ถูกปฏิเสธ หรือ สมควรได้รับ “บิลล์ รัสเซลล์ โทรฟี” สัก 1 ครั้งหรือไม่
เริ่มจากฤดูกาล 2014-15 สตีฟ เคอร์ ผันตัวจากนักวิเคราะห์วิจารณ์มารับงานโค้ชแทน มาร์ค แจ็คสัน พร้อมปรับวิธีการเล่นเกมรุก โดยมี เคอร์รี กับ เคลย์ ธอมป์สัน เป็นศูนย์กลาง ทำให้ วอร์ริเออร์ส กลายเป็นทีมที่ไร้เทียมทานอย่างเหลือเชื่อ ด้วยสถิติ ชนะ 67 เกม (แพ้ 15 เกม) ส่งผลให้ เคอร์ กลายเป็นโค้ชรุกกี้ผลงานดีสุดของประวัติศาสตร์ NBA
ช่วงเวลาดังกล่าว เคอร์รี คว้ารางวัล MVP ฤดูกาลปกติ สมัยแรกของอาชีพ โดยเอาชนะคู่แข่งอย่าง เจมส์ ฮาร์เดน การ์ด ฮุสตัน ร็อคเก็ตส์ ณ เวลานั้น ด้วยผลงานสร้างสถิติยิง 3 คะแนนมากสุดของลีก 286 ลูก เฉพาะ 1 ซีซัน กับค่าเฉลี่ย 23.8 แต้ม กับ 7.7 แอสซิสต์ จากนั้น วอร์ริเออร์ส เข้าชิงชนะเลิศ NBAและเอาชนะ คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส 4-2 เกม นับเป็นแชมป์แรกของแฟรนไชส์รอบ 40 ปี
บทสรุป อิกัวดาลา ได้รับรางวัล MVP รอบชิงชนะเลิศ จากหน้าที่ตามประกบ เลอบรอน เจมส์ ฟอร์เวิร์ด คาวาเลียร์ส ทำให้คนส่วนมากเกิดข้อสงสัย หากคุณพิจารณาผลงาน เลอบรอน เป็นผู้เล่นคนแรกของประวัติศาสตร์ NBA รอบชิงชนะเลิศ ซึ่งทำคะแนน, รีบาวน์ด และแอสซิสต์ มากสุด 35.8 แต้ม 13.3 รีบาวน์ด 8.8 แอสซิสต์ และยิงฟิลด์โกลเข้าเป้า 39.8 เปอร์เซ็นต์
ขณะที่ เคอร์รี ซัดเฉลี่ย 26.0 แต้ม 5.8 รีบาวน์ด 4.0 แอสซิสต์ ยิงฟิลด์โกลเข้าเป้า 44.3 เปอร์เซ็นต์ และระยะ 3 คะแนน 38.5 เปอร์เซ็นต์ แต่ วอร์ริเออร์ส ตามหลัง 1-2 เกม ทว่านับตั้งแต่ เคอร์ ปรับไลน์อัพใหม่ ส่ง อิกัวดาลา เป็นตัวจริง จึงทำให้เกิดมุมมองว่า “อิกกี” คือ ผู้เล่นที่ตัดสินซีรีส์อย่างแท้จริง
เข้าสู่ยุค “ซูเปอร์ วอร์ริเออร์ส” ปี 2017 วอร์ริเออร์ส คว้า ดูแรนท์ จาก โอกลาโฮมา ซิตี ธันเดอร์ แบบฟรีเอเจนต์ หวังล้างตาจากความปราชัยแก่ คลีฟแลนด์ 3-4 เกม ปี 2016 สร้างสิถิติ ชนะ 67 แพ้ 15 และเข้ารอบชิงชนะเลิศ แบบชนะ 12 เกมรวด เฉพาะเพลย์ออฟ ขึ้นนำ แคฟส์ ซึ่งไม่มีอาวุธเกมบุกเพียงพอต่อกรด้วย3-0 เกม แล้วปิดซีรีส์ 4-1 เกม
ณ เวลานั้น อาจมีเสียงสนับสนุน เคอร์รี คว้า MVP รอบชิงชนะเลิศ แต่ปรากฏว่า “เคดี” ได้รับเสียงโหวตอย่างเป็นเอกฉันท์ 11 เสียง เนื่องจากถูกมองว่า เหมือนเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่ขาดหายของ วอร์ริเออร์ส ด้วยสถิติยิงฟิลด์โกล 55.6 เปอร์เซ็นต์, ระยะ 3 คะแนน 47.4 เปอร์เซ็นต์ และ ฟรีโธรว์ 92.7 เปอร์เซ็นต์ กลบรัศมี เคอร์รี ที่ยิงฟิลด์โกล 44 เปอร์เซ็นต์ และระยะ 3 คะแนน 38.8 เปอร์เซ็นต์
แชมป์ครั้งล่าสุด ปี 2018 วอร์ริเออร์ส ดวลกับ คาวาเลียร์ส ครั้งที่ 4 ติดต่อกัน คราวนี้กลายเป็นงานที่ง่ายดายเกินคาด ปืดซีรีส์ขาดลอย 4-0 เกม โดย ดูแรนท์ ซัดเฉลื่ย 28.8 แต้ม 10.8 รีบาวน์ด 7.5 แอสซิสต์ แถมสถิติการชู้ตฟิลด์โกล-3 คะแนน-ลูกโทษ ทะลุ 50-40-90 ตามลำดับ ถึงแม้ตกเป็นเป้าการป้องกันของผู้เล่น คลีฟแลนด์ ทุกเกม ส่วน เคอร์รี ผลงานภาพรวมยังด้อยกว่า เฉลี่ย 27.5 แต้ม 6.0 รีบาวน์ด 6.8 แอสซิสต์ ฟิลด์โกล 40.2 เปอร์เซ็นต์ และ 3 คะแนน 41.5 เปอร์เซ็นต์
สำหรับปี 2022 เคอร์รี มีโอกาสดีสุดที่จะปลดล็อกรางวัล MVP รอบชิงชนะเลิศ ตามอัตราของบริษัทรับพนันถูกกฎหมาย ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ทว่าการดวลกับ มาร์คัส สมาร์ท ดีกรีป้องกันยอดเยี่ยม ตามตำแหน่ง (การ์ดจ่าย) น่าจะเป็นอุปสรรคสำคัญ หากเขาสามารถรีดฟอร์มสุดยอด เหมือนตอนแบก วอร์ริเออร์ส ติดพื้นที่เพลย์-อิน ฤดูกาลที่แล้ว ก็น่าจะได้รับ “บิลล์ รัสเซลล์ โทรฟี” สักครั้งของชีวิต
ขอทิ้งท้ายถึงคู่แข่งอย่าง เซลติกส์ ผมเชื่อว่าพวกเขาไม่ใช่หมูให้ วอร์ริเออร์ส เคี้ยวง่ายๆ ด้วยเกมป้องกันอันเหนียวแน่น และเกมบุกมีคู่หู เจย์สัน เททัม หรือ เจย์เลน บราวน์ ที่สามารถพึ่งพาได้ยามคับขัน แต่เมื่อถึงเวทีใหญ่ เดิมพันตำแหน่งแชมป์ NBA ฤดูกาล 2021-22 ทั้งคู่จะยังรักษาความโดดเด่นเหมือนที่ผ่านมาได้หรือไม่ ต้องคอยดูกันต่อไป